ความเคลื่อนไหวล่าสุดจาก Moody’s และภาพรวมตลาดการเงินไทย
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกอย่าง Moody’s Investors Service ได้ประกาศปรับลดมุมมอง (Outlook) ของสถาบันการเงินไทย 7 แห่งจากเดิม “คงที่” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative) โดยที่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือเดิมไว้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับ Baa1-Baa2 (เทียบเท่ากับระดับ BBB ถึง BBB+ ในระบบการจัดอันดับแบบอื่น) สถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ (BBL), ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB), บริษัท เอสซีบี เอ็กซ์ (SCBX) และธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
การปรับลดมุมมองครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากการที่ Moody’s ได้ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในภาพรวม ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ท่ามกลางความท้าทายในการฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19 และปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน
การวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึก
ตามมุมมองของนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส โดย นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ ระบุว่าการปรับลดมุมมองครั้งนี้ส่งผลกระทบในเชิงความเชื่อมั่นหรือเซนติเมนต์ (Sentiment) ต่อตลาดการเงินไทย แต่ในแง่ปัจจัยพื้นฐานนั้น ผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน (Cost of Fund) ของกลุ่มธนาคารไทยจะอยู่ในวงจำกัด แม้ในกรณีที่อนาคตอาจมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) จริง
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยบรรเทาผลกระทบคือโครงสร้างแหล่งเงินทุนของธนาคารไทย ซึ่งพึ่งพาตราสารหนี้ในสัดส่วนที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมด โดยโครงสร้างแหล่งเงินทุนของระบบธนาคารไทยประกอบด้วยเงินฝาก 88%, เงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร (Interbank Borrowing) 8% และหุ้นกู้เพียง 4% เท่านั้น
เมื่อพิจารณาเป็นรายธนาคาร พบว่าธนาคารกรุงเทพ (BBL) มีการใช้ตราสารหนี้เป็นแหล่งเงินทุนสูงสุดในกลุ่มที่ประมาณ 7% ตามมาด้วยธนาคารกรุงไทย (KTB) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ประมาณ 4% ส่วนธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) อยู่ที่ประมาณ 2% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมาก
ความแข็งแกร่งของระบบธนาคารไทย
อีกปัจจัยที่ช่วยรองรับผลกระทบจากการปรับลดมุมมองคือความแข็งแกร่งของเงินกองทุนในระบบธนาคารไทย โดยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1 Capital Ratio) ของกลุ่มธนาคารไทยอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 18% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้อย่างมีนัยสำคัญ โดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) และทิสโก้ (TISCO) ต้องดำรงอัตราส่วนไม่ต่ำกว่า 8.5% ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่ 6 แห่งที่ถูกจัดให้เป็นธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบ (Domestic Systemically Important Banks: D-SIBs) ได้แก่ BAY, BBL, KBANK, KTB, SCB และ TTB ต้องดำรงอัตราส่วนไม่ต่ำกว่า 9.5%
นอกจากนี้ ความเพียงพอของการตั้งสำรองหนี้สูญของธนาคารไทยยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ สะท้อนผ่านอัตราส่วน Coverage Ratio ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 180% โดยธนาคารที่มี Coverage Ratio สูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่ 300%, ธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่ 182% และทิสโก้ (TISCO) ที่ 154%
คาดการณ์ผลประกอบการและแนวโน้มในอนาคต
ภาพรวมของงบดุลของธนาคารไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน บล.เอเซีย พลัส ยังคงประมาณการกำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคาร 8 แห่งที่ 2.4 แสนล้านบาทในปี 2568 ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรที่เกิดขึ้นแล้วในไตรมาส 1/2568 คิดเป็นสัดส่วน 27% ของประมาณการทั้งปี ซึ่งประมาณการนี้ได้คำนึงถึงผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income: NII) จะมีแนวโน้มลดลงตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ในขณะที่ต้นทุนทางเครดิต (Credit Cost) น่าจะไม่ลดลงต่ำกว่าระดับในไตรมาส 1/2568 เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ดังนั้น ปัจจัยที่จะช่วยลดแรงกดดันต่อกำไรในช่วงที่เหลือของปีจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses: OPEX) และการเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income) โดยเฉพาะในส่วนของตลาดทุน (Capital Market) ซึ่งตามทฤษฎีการเงินมักมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ
ด้วยระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งของธนาคารไทย นักวิเคราะห์คาดว่ากลุ่มธนาคารจะสามารถรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงได้ต่อไป สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ บล.เอเซีย พลัส แนะนำให้เลือกลงทุนในธนาคารกรุงไทย (KTB) ซึ่งมีแนวโน้มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) สูงสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ระดับประมาณ 7%
ส่วนในกลุ่มธนาคารขนาดกลาง นักวิเคราะห์แนะนำให้เลือกทิสโก้ (TISCO) ซึ่งมี ROE ประมาณ 16% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่ม และให้ Dividend Yield ประมาณ 8% ต่อปี
บทสรุป
การปรับลดมุมมองของสถาบันการเงินไทยโดย Moody’s แม้จะส่งผลกระทบในเชิงความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินและปัจจัยพื้นฐานโดยรวมจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากโครงสร้างเงินทุนที่พึ่งพาเงินฝากเป็นหลัก ประกอบกับระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและการตั้งสำรองที่เพียงพอ ทำให้กลุ่มธนาคารไทยยังมีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในระยะข้างหน้าได้ดี แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวและแนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่หดตัวลงตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก็ตาม